ระเบียบข้อบังคับสมาคม
กฏระเบียบข้อบังคับ
ของ
สมาคมปกป้องพระพุทธศาสนา
หมวดที่ 1. ชื่อ สถานที่ตั้ง
ข้อ 1. สมาคมนี้ชื่อว่า “สมาคมปกป้องพระพุทธศาสนา” ใช้อักษรย่อภาษาไทยว่า "สปพ."
เรียกชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “เดอะโพรเท็คชั่นออฟบุดดิสม์แอสโซซิเอชั่นออฟไทยแลนด์”
และเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “THE PROTECTION OF BUDDHISM ASSOCIATION” มีอักษรย่อภาษาอังกฤษ "TPBA"
ข้อ 2. สำนักงานของสมาคมตั้งอยู่ที่ 596 หมู่ 5 บ้านมะขามป้อม ตำบลธาตุนาเวง อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร 47000
หมวดที่ 2. วัตถุประสงค์
ข้อ 3. วัตถุประสงค์ของสมาคม
1. เพื่อธำรงค์และเชิดชูไว้ซึ่ง 3 สถาบันหลัก อันมี ชาติ ศาสนาพุทธ และ สถาบันพระมหากษัตริย์
2. ส่งเสริมและสนับสนุนให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย
3. ส่งเสริมและสนับสนุนร่างกฏหมายคุ้มครองคณะสงฆ์
4. ส่งเสริมและสนับสนุนความเท่าเทียมกันทางกฏหมายของทุกศาสนิกชน
5. เพื่อเป็นศูนย์รวมของพี่น้องชาวไทยพุทธทั่วโลก จรรโลงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปอย่างยั่งยืนนาน
6. จัดตั้งศูนย์และเครือข่ายระวังภัยพระพุทธศาสนาทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั่วประเทศ เพื่อรักษาไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ของพุทธบริษัท 4
7. จัดตั้งศูนย์ประสานงานของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ เพื่อสะดวกในการประสานงาน
8. เพื่อจัดอบรมบ่มนิสัยแก่เยาวชนของชาติ ให้เข้าใจถึงความสำคัญของการสืบสานประเพณี วัฒนธรรม อันดีงามของชาติที่บรรพชนได้ถ่ายทอดและปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนานตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน
9. เพื่อเผยแพร่พระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธะเจ้า ให้เข้าถึงจิตใจของพุทธศาสนิกชนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
10. เพื่อให้พุทธศาสนิกชน และเยาวชนของชาติได้บวชเรียนหรือได้ศึกษาธรรมะให้เข้าใจยิ่งขึ้น โดยการจัดอบรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
11. ส่งเสริมอบรมความรู้แก่พุทธบริษัททั้ง 4 ให้เข้าใจในพระธรรมวินัย เพื่อจะได้ทำหน้าที่ดูแลรักษาพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ด้วยความสง่างาม
12. จัดให้มีสถานที่อบรมและพัฒนาจิตใจของพี่น้องชาวไทยพุทธเดือนละ 2 ครั้ง
13. เพื่อคงไว้ซึ่งความเป็นธรรมแก่บุคลากรในพุทธศาสนสถาน
14. ทำหน้าที่ปกป้องพุทธศาสนสถาน
วัตถุประสงค์ทุกประการไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
หมวดที่ 3. สมาชิก
ข้อ 4. สมาชิกของสมาคม มี 2 ประเภท
ก. สมาชิกสามัญ ได้แก่ พุทธศาสนิกชนทั่วไป
ข. สมาชิกกิตติมศักดิ์ ได้แก่ พระภิกษุสงฆ์ ผู้ทรงเกียรติ
ข้อ 5. ผู้สมัครเป็นสมาชิก ต้องทำคำขอตามแบบของสมาคมยื่นต่อสมาคม ใบสมัครเช่นว่านี้ ต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 1 คนลงลายมือชื่อรับรองว่า
ผู้สมัครไม่เป็นบุคคลที่ควรรังเกียจ และคณะกรรมการจะเป็นผู้พิจารณาลงมติเห็นชอบว่า ควรรับสมัครเป็นสมาชิกหรือไม่ มติของคณะกรรมการเป็นที่สุด
ข้อ 6. สิทธิของสมาชิกมีดังนี้
ก. มีสิทธิใช้สถานที่ของสมาคม
ข. มีสิทธิเข้าฟังการประชุม แสดงความคิดเห็น แต่สมาชิกสามัญเท่านั้น มีสิทธิเสนอมติแล้วออกเสียงลงคะแนนหรือได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมการ
ข้อ 7. หน้าที่ของสมาชิก
ก. ปฏิบัติตามข้อบังคับของสมาคมและระเบียบซึ่งกรรมการได้กำหนดขึ้น
ข. ส่งเสริมและร่วมมือในกิจการของสมาคม
ค. รักษาและดำรงไว้ซึ่งชื่อเสียงของสมาคม
ง. ชำระค่าจดทะเบียน ค่าบำรุงตามระเบียบข้อบังคับของสมาคม
เว้นแต่สมาชิกกิตติมศักดิ์ย่อมได้รับเกียรติจากสมาคมไม่ต้องเสียทั้งค่าจดทะเบียนและค่าบำรุง
จ. การชำระค่าจดทะเบียนสมาชิก และค่าบำรุงสมาคมต้องชำระล่วงหน้า
โดยจำนวนเงินและกำหนดเวลาชำระเงินจะประกาศให้ทราบ ณ ที่ทำการสมาคมโดยมติที่ประชุมกรรมการ
ข้อ 8. การขาดจากสมาชิกภาพ
ก. สมาชิกย่อมขาดจากสมาชิกภาพ เมื่อ
(1) ตาย
(2) ลาออก โดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรถึงคณะกรรมการ และคณะกรรมการอนุมัติให้ผู้นั้นลาออกจากการเป็นสมาชิกแล้ว
(3) คณะกรรมการมีมติให้ลงชื่อออกจากทะเบียน เมื่อสมาชิกผู้นั้น
1. ถูกจำคุกโดยคำพิพากษาของศาล (เว้นแต่ความผิดลหุโทษหรือ
ความผิดฐานประมาท) หรือถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย,ไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
2. ประพฤติตนในทางเป็นปฏิปักษ์ต่อสมาคม
3. ไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของสมาคม หรือระเบียบที่คณะกรรมการกำหนดไว้โดยเคร่งครัด
4. ไม่ชำระค่าบำรุงของสมาคมตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป และทางสมาคม ได้ทวงถามให้ผู้นั้นชำระค่าบำรุงแล้ว
โดยให้เวลาไม่น้อยกว่า 30 วันแล้ว
คุณสมบัติของสมาชิก
1. อายุ 18 ปีขึ้นไป
2. นับถือศาสนาพุทธ
3. สามารถประชุมกับสมาคมได้ปีละครั้ง ไม่ว่าจะโดยบุคคลหรือออนไลน์
4. สมาชิกต่างประเทศรายงานความคืบหน้าของชุมชนพุทธศาสนาใกล้บ้านให้เพื่อนสมาชิกทางประเทศไทยรับทราบในกรณีมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
5. ให้ความร่วมมือกับสมาคมปกป้องพระพุทธศาสนาในโครงการที่สมาคมฯจัดทำ
หน้าที่ของสมาชิกสำหรับผู้ที่อาศัยในประเทศไทยและต่างประเทศเหมือนกันคือ
1. ช่วยกันเผยแพร่ข่าวสารที่ทางสมาคมผลิตและรวบรวมขึ้นมาเพื่อสร้างความตื่นรู้ในภัยของอิสลามที่มีต่อชาติ ศาสนาพุทธ และพระมหากษัตริย์ ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 ของสมาคม
2. ช่วยกันรณรงค์รายชื่อให้ครบ 50,000 รายชื่อ สำหรับการร่างกฏหมายใหม่แต่ละฉบับ ซึ่งจะมีอีกหลายฉบับที่ต้องยกเลิก ในมหาดไทย ( พรบ บริหารองค์กรอิสลาม )
ในกระทรวงศึกษาธิการ (อิสลามศึกษาที่บรรจุอยู่ในสพฐ. ในขณะที่พระพุทธศาสนาและหน้าที่พลเมืองกลับกลายเป็นวิชาเลือกและเสริม อิสลามศึกษาเป็นวิชาหลัก
นอกจากนั้นมีการพยายามบิดเบือนประวัติศาสตร์ไทยว่าอิสลามเป็นคนรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับกษัตริย์ไทยมาตลอด ทั้วที่พวกนี้คือกบฏแผ่นดินทุกยุคทุกสมัยแม้แต่ยุคปัจจุบัน
นายแช่ม พรหมยงค์ เป็นผู้ร่วมก่อการปฏิวัติพระมหากษัตริย์ ร 7 เมื่อ ปี 2475 และเป็นผู้คุมตัวราชวงศ์ไปกักไว้ที่พระที่นั่งอนันต์ ต่อมานายแช่ม พรหมยงค์
ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นจุฬาราชมนตรีคนแรกในยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง และเริ่มสร้างรากแก้วที่แข็งแรง เช่นการออกกฏหมายศาสนาอิสลามขึ้นมาในปี2488,2489,2490,2491
ให้อิสลามในประเทศไทยนับแต่นั้นมา ) ในกระทรวงวัฒนธรรม (ที่อิสลามเข้าไปแอบสร้างรากฐานเอาไว้ อิสลามพยายามจะสร้างสถานการณ์ตีวัฒนธรรมไทยออกจากสังคมด้วยการออกกฏหมายมาบีบ)
3. สมาชิกทุกคนมีหน้าที่ทำความเข้าใจในภัยและกฏหมายอิสลามเพื่อจะได้เป็นแม่แบบในการให้ความรู้แก่ประชาชนไทยต่อไป
4. . สมาชิกทุกคนต้องสามารถขยายสมาชิกได้คนละ 10
5. ให้ความเคารพ ในชาติ ศาสนาพุทธ และพระมหากษัตริย์
6. สมาชิกทุกคนมีหน้าที่ปกป้องเกียรติ ชื่อเสียงของสมาคมฯ หากใครคิดทำลายชื่อเสียงของสมาคมไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมจะลบออกจากการเป็นสมาชิกภาพทันที
7. สมาชิกของสมาคมมีหน้าที่ส่งเสริมให้สมาคมฯทำงานบรรลุวัตถุประสงค์ทั้ง 16 ข้อ ตามที่ได้จดทะเบียนไว้กับนายทะเบียน
8. สมาชิกมีสองประเภท คือสามัญ หรือสมาชิกบริหาร และ วิสามัญ หรือสมาชิกทั่วไป
8.1 สมาชิกสามัญมีค่าแรกเข้า 100 บาท ค่าสนับสนุนสมาคมปีละ 500 บาท มีสถานะเป็นสมาชิกบริหารมีสิทธิ์ออกเสียงในการเลือกกรรมการและนายกสมาคม
8.2 สมัครสมาชิกตลอดชีพ 2000บาท
8.3 สมาชิกวิสามัญ ไม่มีค่าใช้จ่าย
หมวดที่ 4. คณะกรรมการ
ข้อ 9. คณะกรรมการประกอบด้วย
ก. กรรมการบริหาร
ข. กรรมการที่ปรึกษา เป็นผู้ที่คณะกรรมการเห็นควรเชิญเข้ามาเป็นกรรมการโดย
เป็นผู้ที่มีความสามารถ หรือทรงคุณวุฒิพิเศษ
กรรมการบริหารประกอบด้วย กรรมการไม่น้อยกว่า 5 คน ซึ่งที่ประชุมใหญ่ เลือกตั้งจากสมาชิกสามัญที่ยังดำรงสมาชิกภาพอยู่
ให้คณะกรรมการบริหารเลือกตั้งกันเองทำหน้าที่ได้แก่
- นายก
- อุปนายก
- เลขาธิการ
- เหรัญญิก
- นายทะเบียน
- ปฏิคม
- ตำแหน่งอื่นๆ ซึ่งจำเป็นแก่การบริหารงานของสมาคม
คณะกรรมการบริหารสมาคมดำรงตำแหน่งได้วาระละ 2 ปี นายกดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 วาระติดต่อกัน
ข้อ 10. อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ
ก. บริหารกิจการของสมาคมให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ข้อบังคับ และข้อกำหนด
ของที่ประชุมใหญ่ กับทั้งมีอำนาจตั้งอนุกรรมการเพื่อดำเนินการใดๆ ตามอำนาจและหน้าที่นั้นๆ ก็ได้
ข. กำหนดระเบียบและวิธีการ ซึ่งไม่ขัดแย้งต่อวัตถุประสงค์และข้อบังคับสมาคม
ค. นายก มีหน้าที่ควบคุมกิจการสมาคม และเป็นผู้แทนของสมาคมในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก
อุปนายก มีหน้าทีทำการแทนนายก เมื่อนายกไม่อยู่หรือไม่สามารถทำการได้ และเป็นผู้ช่วยนายกปฏิบัติการใดๆ ที่นายกมอบหมาย
เลขาธิการ มีหน้าที่นัดประชุมกรรมการ การประชุมใหญ่ จัดและรักษารายงานการประชุม
ติดต่อกับสมาชิกและบุคคลภายนอกในเรื่องทั่วๆ ไป และในกิจการอื่นๆ ที่มิได้อยู่ในอำนาจและหน้าที่ของกรรมการ หรืออนุกรรมการอื่นโดยเฉพาะ
เหรัญญิก มีหน้าที่จ่ายและรักษาเงินตลอดจนการทำบัญชีและรักษาเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับการเงิน
นายทะเบียน มีหน้าที่ทำและรักษาทะเบียนของสมาชิก ตลอดจนเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเป็นสมาชิก
ปฏิคม มีหน้าที่ต้อนรับสมาชิกและแขกของสมาคมหรือสมาชิก และรักษาสถานที่ของสมาคมและพัสดุ
ง. การประชุมคณะกรรมการ ต้องมีกรรมการบริหารมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งจำนวน จึงเป็นองค์ประชุมได้
และให้ประชุมกรรมการตามปกติไม่น้อยกว่า 3 เดือนครั้ง
ข้อ 11. กรรมการพ้นจากตำแหน่ง
ก. ถึงกำหนดออกตามวาระ
ข. ขาดจากสมาชิกภาพของสมาคม
ค. ลาออกจากตำแหน่งกรรมการ
ง. ที่ประชุมใหญ่ลงมติให้พ้นจากตำแหน่ง
จ. ไม่มาประชุมกรรมการ 3 คราวติดต่อกันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ข้อ 12. ถ้าตำแหน่งกรรมการว่างลงเพราะเหตุใด ให้คณะกรรมการแต่งตั้งสมาชิกผู้ได้รับ
เลือกตั้งจากที่ประชุมใหญ่ตามลำดับคะแนนรองลงไป และกรรมการผู้ได้รับเลือกตั้งซ่อมนั้นจะดำรงตำแหน่งได้เท่าวาระของผู้ที่ตนแทน
คณะกรรมการจะดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ได้รับเลือกตั้งจนกว่าที่ประชุมใหญ่จะเลือกตั้งกรรมการชุดใหม่
ข้อ 13. อำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการที่ปรึกษา
ก. กรรมการที่ปรึกษา มีสิทธิเข้าร่วมกับคณะกรรมการบริหารเพื่อพิจารณากิจการ ของสมาคม
หรือให้ข้อคิดในการดำเนินการต่างๆ แต่ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน
ข. กรรมการที่ปรึกษาอยู่ในตำแหน่งได้เท่าวาระของกรรมการบริหาร
ค. กรรมการที่ปรึกษาซึ่งพ้นตำแหน่งตามวาระแล้ว อาจได้รับเชิญเข้าเป็นกรรมการที่ปรึกษาใหม่ได้
ข้อ 14. มติของที่ประชุมกรรมการ ให้ถือคะแนนเสียงข้างมาก ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมเป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 15. กรรมการจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของกรรมการทั้งหมด มีสิทธิขอให้เรียกประชุมคณะกรรมการได้ เมื่อมีเหตุผลสมควร ให้นายกเรียกประชุมคณะกรรมการตามคำขอทันที โดยแจ้งให้คณะกรรมการทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 2 วัน
หมวดที่ 5. การประชุมใหญ่
ข้อ 16. ให้มีการประชุมใหญ่ทุกปี เพื่อพิจารณาระเบียบวาระต่อไปนี้
ก. เพื่อพิจารณารายงานกิจการของคณะกรรมการบริหารเกี่ยวกับกิจการของสมาคม ซึ่งคณะกรรมการนั้นได้บริหารมา
ข. เพื่อพิจารณาและอนุมัติบัญชีงบดุลสำหรับปีที่ล่วงมาแล้ว
ค. เพื่อเลือกตั้งผู้ตรวจสอบบัญชี
ง. เพื่อปรึกษาพิจารณาเรื่องอื่นๆ
ข้อ 17. ให้มีการประชุมใหญ่เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการใหม่ทุก 2 ปี ภายในเดือนเมษายนของปีถัดไป
ข้อ 18. นอกจากการประชุมใหญ่สามัญ คณะกรรมการอาจเรียกประชุมใหญ่วิสามัญได้ หรือสมาชิกไม่น้อยกว่า 20 คน จะลงชื่อร้องขอให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญก็ได้ เมื่อนายกได้รับคำขอเช่นนี้ให้เรียกประชุมใหญ่วิสามัญ โดยกำหนดนัดประชุมภายใน 15 วันนับแต่วันที่สมาชิกร้องขอ
ข้อ 19. ในการประชุมใหญ่ จะต้องแจ้งวันนัดประชุมให้สมาชิกทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน
ข้อ 20. ในการประชุมใหญ่ จะต้องมีสมาชิกผู้มีสิทธิออกเสียงมาประชุมไม่น้อยกว่า 20 คน จึงจะเป็นองค์ประชุม ญัตติใดๆ เว้นแต่ที่เสนอโดยคณะกรรมการหรือกรรมการคนใดคนหนึ่งต้องมีสมาชิกรับรอง 3 คนเป็นอย่างน้อย
ข้อ 21. ในการประชุมใหญ่สามัญ ถ้าสมาชิกมาไม่ครบองค์ประชุม ก็ให้นัดประชุมใหม่ภายใน 30 วัน และในการนัดประชุมใหม่นั้นมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่า 10 คน ก็ให้ถือเป็นองค์ประชุมได้
ข้อ 22. สมาชิกทั้งหลายมีสิทธิเข้าฟังการประชุม และแสดงความคิดเห็น แต่สมาชิกสามัญเท่านั้นมีสิทธิเสนอญัตติและออกเสียงลงคะแนน การออกเสียงลงคะแนนเป็นสิทธิเฉพาะตัวของสมาชิกจะแต่งตั้งตัวแทนไม่ได้
ข้อ 23. มติของที่ประชุมใหญ่ให้ถือตามเสียงข้องมาก หากคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงชี้ขาด
หมวดที่ 6. การเงินและการบัญชี
ข้อ 24. การเงินของสมาคมอยู่ในความรับผิดชอบร่วมกันของ นายก อุปนายก เลขาธิการ เหรัญญิก การจ่ายเช็คของสมาคมให้นายก หรือ เลขาธิการ คนใดคนหนึ่งลงลายมือชื่อร่วมกับเหรัญญิก และประทับตราของสมาคม
ข้อ 25. ให้เหรัญญิกจัดให้มีการเงินของสมาคมพร้อมด้วยใบสำคัญและหลักฐานให้ถูกต้องตามหลักวิชาการบัญชี การรับเงินทุกประเภทต้องมีหลักฐานการรับเงิน การจ่ายเงินทุกรายต้องมีใบสำคัญอันมีรายการจำนวนเงินถูกต้อง ซึ่งได้รับอนุมัติจากนายก หรือผู้ได้รับมอบหมาย หลักฐานการรับจ่ายต้องเก็บรักษาไว้ เพื่อการตรวจสอบโดยเรียบร้อยครบถ้วนตามกฎหมาย
ข้อ 26. ให้นายกสมาคมมีอำนาจสั่งจ่ายเงินเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ของสมาคมได้ไม่เกินครั้งละ 100,000 บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) ถ้าเกินกว่านั้นให้ขออนุมัติจากคณะกรรมการก่อน
ข้อ 27. เงินของสมาคมเมื่อมีเกินกว่า 5,000 บาท (ห้าพันบาทถ้วน) ให้ฝากในธนาคารใด ธนาคารหนึ่งที่คณะกรรมการเห็นชอบในนามของสมาคม
ข้อ 28. บัญชีของสมาคมสิ้นสุดเพียงวันที่ 31 ธันวาคม ของทุกปี เหรัญญิกต้องทำบัญชีงบดุลเสนอให้ผู้สอบบัญชีของสมาคมตรวจ ภายในเวลาอันสมควร ที่จะเสนอให้ที่ประชุมใหญ่พิจารณาตามกำหนด
ข้อ 29. ให้ที่ประชุมใหญ่แต่งตั้งสมาชิกสามัญ หรือจากบุคคลภายนอก ซึ่งมิใช่กรรมการของสมาคมให้เป็นผู้ตรวจสอบบัญชี
ข้อ 30. ถ้าผู้ตรวจสอบบัญชี ซึ่งที่ประชุมใหญ่เลือกตั้งไว้ พ้นจากตำแหน่งด้วยเหตุใดๆ ก่อนทำการสอบบัญชีเสร็จ คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งผู้สอบบัญชีใหม่ ที่ไม่ใช่กรรมการของสมาคมทำการสอบบัญชีแทน
ข้อ 31. ผู้สอบบัญชีมีอำนาจตรวจสอบสรรพเอกสารทั้งของที่เกี่ยวกับบัญชีและการเงินของสมาคม และมีอำนาจสอบถามกรรมการและพนักงานของสมาคม เพื่อการดังกล่าวนั้น
หมวดที่ 7. การแก้ไขข้อบังคับของสมาคม
ข้อ 32. ข้อบังคับนี้จะแก้ไขเพิ่มเติมได้ก็แต่โดยมติของที่ประชุมใหญ่ ซึ่งมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกสามัญที่เข้าประชุม
หมวดที่ 8. การเลิกสมาคม
ข้อ 33. การลงมติเลิกสมาคมต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของสมาชิกทั้งหมด
ข้อ 34. ในการเลิกสมาคมไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ให้ตั้งผู้ชำระบัญชีเว้นแต่ที่ประชุมลงมติให้เลิกสมาคมนั้นจะได้ลงมติไว้เป็นอย่างอื่น และเมื่อชำระบัญชีแล้ว ถ้ามีทรัพย์สินเหลืออยู่ก็ให้โอนให้แก่นิติบุคคลอื่นที่มีวัตถุประสงค์เหมือนหรือคล้ายคลึงกับวัตถุประสงค์ของสมาคมนี้